Search :             language    :    thai eng      
 












สถิติผู้ชมเว็บไซต์


Member Login

สัมภาษณ์พิเศษ : อยู่ไฟ Delivery ภูมิปัญญาไทยโบราณ ส่งตรงถึงบ้าน บริการทั่วประเทศ
ปัจจุบันจำนวนประชากรไทยมีอยู่เกือบๆ 70 ล้านคน หนำซ้ำในยุคปัจจุบันที่การแพทย์ก้าวหน้าไปไกลมาก จึงยังผลให้คนมีชีวิตยืนยาวขึ้น เมื่อประชากรเก่ายังอยู่ ในขณะที่ประชากรใหม่ก็เกิดขึ้นทุกวัน จึงดูเหมือนว่าเราจะได้สนิทชิดเชื้อกับความหนาแน่นของประชากรมากขึ้นทุกที ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวหลายคนอาจจะมองว่าเป็นปัญหา แต่สำหรับ ‘แผนไทย ดีลิเวอรี่’ เขากลับมองว่าเป็นโอกาส เพราะยิ่งมีคนเกิดใหม่ ก็ยิ่งเป็นที่มาของการสร้างรายได้
 
เนื่องจากแผนไทย ดีลิเวอรี่ เขาให้บริการอยู่ไฟคุณแม่หลังคลอด ซึ่งเขาบอกเราด้วยความภาคภูมิใจว่า ทุกวันนี้แม้จะมีบริษัท ห้างร้าน ฯลฯ ให้บริการในเรื่องของการอยู่ไฟมากมายหลายแห่ง แต่พนักงานกว่า 100 ชีวิต ภายใต้หลังคาของบ้านแผนไทย ดีลิเวอรี่ ก็มีคุณแม่ทั้งมือใหม่ มือเก่าเรียกใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย ชนิดที่บริการกันแทบไม่หวาดไม่ไหวทีเดียวค่ะ
 
อันที่จริงเรื่องการอยู่ไฟไม่ใช่เรื่อง ใหม่ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป จึงมีบางช่วงบางตอนที่คนไทยหันไปให้ความสำคัญกับการแพทย์สมัยใหม่มากกว่าการ ดูแลรักษาตัวเองด้วยวิถีภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะบางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลานาน แทบจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าอยู่ไฟเลยด้วยซ้ำ ทว่า หลังจากการเปิดตัวบริการ อยู่ไฟ Delivery ด้วยสมุนไพรสด ของบริษัท แผนไทย ดีลิเวอรี่ จำกัด เมื่อเกือบๆ 10 ปีก่อน ก็ทำให้คนเปิดใจยอมรับเรื่องการอยู่ไฟมากขึ้น ยิ่งชูจุดเด่นด้วยการให้บริการอยู่ไฟถึงที่บ้าน ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่มุมใดของประเทศ ธุรกิจอยู่ไฟ Delivery ก็ยิ่งดังเป็นพลุแตก
 
คุณนันท์ชญาน์ กินขุนทด ผู้บริหาร บริษัท แผนไทย ดีลิเวอรี่ จำกัด เจเนอเรชั่นที่ 3 ของบ้านแผนไทย ผู้ซึ่งมีแนวคิดในการพลิกฟื้นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่คนไทยเกือบจะลืมเลือน ไปแล้วให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ได้กล่าวถึงความเป็นมาของการให้บริการอยู่ไฟ Delivery ว่า “ดิฉันรู้จักการอยู่ไฟมาตั้งแต่จำความได้ เพราะคุณยายเป็นพยาบาลผดุงครรภ์ จึงมักจะเห็นท่านหิ้วตระกร้าอุปกรณ์พร้อมสมุนไพรไปไหนมาไหนจนชินตา เพียงแต่เมื่อก่อนท่านทำอยู่คนเดียว ใครจะให้ช่วยไปทำคลอดก็มาเรียก คลอดเรียบร้อยแล้วก็อยู่ไฟให้เขาด้วย
 
พอมาถึงปี 2500 คุณแม่ก็มาช่วยคุณยายทำอีกแรงหนึ่ง โดยเปิดเป็นร้าน ชื่อว่าร้านแผนไทย เน้นให้บริการอยู่ไฟคุณแม่หลังคลอดอยู่เช่นเดิม ส่วนตัวดิฉันเองทีแรกไม่เอาเลยนะ ก็เบนเข็มตัวเองไปร่ำไปเรียนทางด้านบริหาร จบมาก็ทำงานทางด้านการตลาดมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเรารู้สึกอิ่มตัวกับการเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็เลยมานั่งนึกๆ ว่าจะทำธุรกิจอะไรดี สุดท้ายก็มาลงตัวที่ธุรกิจเดิมของครอบครัว แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เราจะมาต่อยอดธุรกิจได้ง่ายๆ นะคะ ดิฉันต้องไปเรียนทั้งในเรื่องของการผดุงครรภ์แผนไทย สอบเพื่อให้ได้ใบประกอบโรคศิลป์ทางด้านแพทย์แผนไทย เรียนทางด้านเภสัชกรรมและเวชกรรม เรียกว่าเรียนจนทะลุปรุโปร่งเลย จากนั้นจึงเริ่มกระโดดมาทำธุรกิจทางด้านแพทย์แผนไทยอย่างเต็มตัว”
 
“แต่มันไม่ดีอย่างที่คิด...” คุณนันท์ชญาน์กล่าวต่อ “คือ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วเรื่องอยู่ไฟกลายเป็นเรื่องที่คนไทยไม่เข้าใจ กลายเป็นเรื่องแปลกใหม่ คนที่ได้ยินเขาก็...เฮ้ย...อะไร มันมีด้วยเหรอการอยู่ไฟ ดีลิเวอรี่  เรียกว่าเงียบสุดๆ เราแห้วไปเลยนะ แต่ไม่ท้อ คือคิดว่าทั้งคุณยายและคุณแม่ยังสานต่อมาได้ตั้งหลายปี แล้วทำไมเราจะสานต่อไปไม่ได้ ดิฉันเลยมาวางการบริหารแผนการตลาดใหม่ เริ่มมีการออกบูธ เริ่มมีการโปรโมทให้เข้าถึงตัวลูกค้ามากขึ้น จำได้เลยว่าไปออกบูธที่เมืองทองธานีครั้งแรก มีสื่อโทรทัศน์มาสัมภาษณ์ เชิญไปออกช่องโน้น ช่องนี้ เราก็เลยเริ่มเป็นที่รู้จัก ลูกค้าก็โทรมาสอบถามข้อมูลมากขึ้น จากนั้นไม่นานความคิดของคุณแม่ยุคใหม่ก็เปลี่ยนไป ภูมิปัญญาไทยก็ถูกพลิกฟื้นและส่งผลให้เรามีชื่อเสียงมากขึ้นเป็นลำดับ”
 
สำหรับข้อดีของการอยู่ไฟ คุณนันท์ชญาน์ กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ว่า คุณแม่หลังคลอดทุกคนจะมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ เพราะสูญเสียพลังงานไปมาก อีกทั้งภาวะจิตใจก็ยังไม่คงที่ เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายไม่ปกติ คุณแม่หลังคลอดบางคนจึงมีอาการซึมเศร้า หรือไม่ก็เกิดอารมณ์ที่แปรปรวน และเมื่อปล่อยให้เวลาผ่านเนิ่นนานไป ผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ได้อยู่ไฟก็คือ ร่างกายไม่ได้ถูกปรับอุณหภูมิให้อยู่ในสภาพที่ปกติ จึงเกิดอาการที่โบราณเรียกว่า “สะบัดร้อน สะบัดหนาว” คือ จะเกิดอาการหนาวสั่นได้ง่าย หรือบางครั้งแม้อยู่ในอากาศเย็นกลับรู้สึกร้อน เหงื่อท่วมร่างกาย ที่ร้ายก็คือ อาการเหล่านั้นจะคงอยู่ไปตลอด ซึ่งหากคุณแม่หลังคลอดเลือกที่จะอยู่ไฟ ก็เท่ากับเป็นการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจให้อยู่ในสภาพที่ปกติ และยังเป็นการดูแลสุขภาพของตัวเองในระยะยาวอีกด้วย “เรารู้ว่าคุณแม่หลังคลอดร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ผู้ให้บริการจะไปทำอยู่ไฟให้คุณแม่ถึงที่จึงเป็นเรื่องที่ถูก ต้อง ซึ่งการให้บริการถึงบ้านจะมีข้อดี คือ 1. คุณแม่มีความสะดวกสบาย 2.สะอาด เพราะเป็นบ้านของลูกค้าเอง และ 3. คุณแม่ไม่ต้องห่างลูก สามารถดูแลหรือให้นมลูกได้ตลอดเวลา
 
“ในเรื่องของขั้นตอนการให้บริการนั้น ลำดับแรก หากมีลูกค้าโทรเข้ามา เราก็ต้องซักประวัติก่อน ต้องทราบว่าคุณแม่คลอดธรรมชาติ หรือผ่าตัดคลอด เนื่องจากว่าการอยู่ไฟของคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติสามารถทำได้หลังจากการคลอด ประมาณ 7 วัน แต่สำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดต้องอยู่ไฟหลังจากการคลอดประมาณ 1 เดือน อีกทั้งต้องดูไปถึงน้ำคาวปลาว่ามีสีอะไร เพราะนั้นหมายถึงความพร้อมของภายในร่างกายคุณแม่ หากน้ำคาวปลายังมีสีแดงสด แล้วรีบร้อนไปทำการอยู่ไฟ อาจจะเกิดอาการตกเลือดได้ ซึ่งอันตรายมาก
 “หลังจากทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว เราจะส่งพนักงานไปตรวจร่างกายของคุณแม่อีกครั้ง ถ้าคุณแม่พร้อมจริงๆ เราถึงจะเริ่มทำการอยู่ไฟให้ โดยคุณแม่จะอยู่ไฟเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน ติดต่อกัน หลังจากนั้นเราจะให้สมุนไพร กระโจม และอุปกรณ์อื่นๆ แก่คุณแม่ไปเลย เพื่อให้คุณแม่ทำการ ‘อยู่เดือน’ หมายถึงการอบสมุนไพรให้ครบ 1 เดือน ดังนั้นอุปกรณ์หรือสมุนไพรใดๆ ก็ตาม เราจะใช้ 1 คน ต่อ 1 ชุด ไม่มีการนำของเก่ามาใช้ซ้ำซ้อนอย่างแน่นอน”
 
ในเรื่องของราคาค่าบริการนั้น คุณนันท์ชญาน์กล่าวว่า หากเป็นคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติ ค่าบริการคอร์สละ 8,500 บาท ส่วนคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอด ค่าบริการจะอยู่ที่ 10,000 บาท เนื่องจากคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดจะใช้เวลาในการอยู่ไฟต่อวันนานกว่าคุณแม่ที่ คลอดธรรมชาติ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งหากเป็นกรณีการให้บริการในต่างจังหวัด จะมีการคิดเพิ่มในส่วนของค่าเดินทางไป-กลับของพนักงาน และตลอดระยะเวลาที่ทำการอยู่ไฟ พนักงานจะต้องพักที่บ้านของลูกค้าด้วย เพราะบริษัทจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานด้วยเช่นกัน  “เราปลูกฝังพนักงานอยู่เสมอว่า “อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น” คือไปถึงไม่ใช่ว่าจะบริการแต่อยู่ไฟอย่างเดียว แต่พนักงานต้องช่วยคุณแม่ดูแลน้อง หรือช่วยเหลือคุณแม่ในเรื่องอื่นๆ ด้วย ดังนั้นเราจึงคัดเลือกพนักงานเฉพาะผู้ที่มีบุตรแล้วเท่านั้น เพราะเราเชื่อว่า คนที่เป็นคุณแม่จะเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ด้วยกันได้ดีที่สุดค่ะ”